รายงานพิเศษ.....
โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า คู่ ขนาน แห่งที่ 1 ส่งเสริมการค้า-การลงทุน-การท่องเที่ยว –ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและ เศรษฐกิจรายได้ชุมชนคนท้องถิ่น.....
รายงานพิเศษ.....โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า
คู่ ขนาน แห่งที่ 1 ส่งเสริมการค้า-การลงทุน-การท่องเที่ยว –ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและ เศรษฐกิจรายได้ชุมชนคนท้องถิ่น.....ทีมข่าวพัฒนาบ้านเมืองและเศรษฐกิจชุมชน
..รายงาน
จากการที่รัฐบาล
ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
ได้สนับสนุนการพัฒนานครแม่สอดเป็นเขตปกครองพิเศษและเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ
นายกรัฐมนตรี พร้อมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องหลายคนคนฝ่ายได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบความพร้อมของ
“นครแม่สอด” เพื่อเป็นประตู AEC โดยสั่งการให้ นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก –นายปรีชา ใจเพชร นายอำเภอแม่สอด-ดร.เทอดเกียรติ ชินสรนันท์ หรือ ดร.นายกฝอ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด รวมทั้งหน่วยงานราชการ ที่อยู่ในพื้นที่
ได้ประสานงานอย่างใก้ลชิดกับรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ได้ลงพื้นที่การจัดเตรียมเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด
ซึ่งรัฐบาลเตรียมสนับสนุนงบประมาณจำนวนหลายพันล้านบาทในเบื้องต้นเพื่อนำมาพัฒนา “นครแม่สอด” เช่นโครงการก่อสร้างถนน 4 เลน,โครงการขยายสนามบินนครแม่สอด,โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า
คู่ขนานแห่งที่ 1
เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดน-การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและภาคอื่นๆ-การท่องเที่ยวระหว่างประเทศและการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้ง
2 ประเทศ และสิ่งสำคัญคือการสร้างเศรษฐกิจรายได้ของชุมชนของประชาชนในท้องถิ่น
ทั้งชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นริมเมย ชาวบ้านตำบลท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก
ที่จะมีรายได้ ขายสินค้า-ข้าวของได้ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง
ทุกสิ่งในการพัฒนานครแม่สอด ประชาชนล้วนมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
และจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เรียกว่า กินดี-อยู่ดี-รายได้ดี
เศรษฐกิจชุมชนดี เจ้าหน้าที่ระดับสูงตัวแทนจากรัฐบาล กล่าวว่า
โครงการการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า คู่ขนาน ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 1 นั้น
เป็นโครงการที่ดีมากท้องถิ่นและประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
เกิดเศรษฐกิจต่อประเทศชาติและขยายไปถึงเศรษฐกิจชุมชน
และตามที่มีข่าวว่าจะมีการเวนคืนที่ดินก็ไม่เป็นความจริงเพราะการออกแบบได้วางแผนไว้อย่างละเอียดรอบครอบ
เพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนและชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว
และในส่วนของโครงการก่อสร้างอาคารด่านพรมแดน ด่านศุลกากรแม่สอด
บริเวณสะพานหนองต้นผึ้ง
ก็จะไม่ส่งผลกระทบกับระบบนิเวศน์หรือการทำลายธรรมชาติแต่อย่างใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่หน่วยงานจะทำนั้น
ยึดหลักความถูกต้องและผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก
และยึดหลักการการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาให้ “นครแม่สอด”
เป็นเขตเศรษฐกิจและเขตการปกครองพิเศษ”นครแม่สอด”
รองรับการเป็นประตู AEC อย่างสมบรูณ์แบบที่สุด
และยังเป็นการพัฒนาเส้นทางสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก
อิสเวตส์อิโคโนมิคคอริดอร์ EWEC อีกด้วย ///////////// **จากกลางปี 2554 น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ขึ้นดำรงนายกรัฐมนตรี
ผู้บริหารท้องถิ่น ในอำเภอแม่สอด
รวมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หอการค้าจังหวัดตาก-สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก นักธุรกิจ
ได้เดินทางเข้าพบเพื่อขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ“นครแม่สอด” และเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด
โดยขอให้ดำเนินการควบคู่พร้อมๆกัน ตามนโยบายเดิมของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และจากการที่พม่าได้มีการปิดด่านพรมแดนเมียวดี
มาเป็นระยะเวลากว่า 1ปีเศษ
และรัฐบาลชุดที่ผ่านมาไม่สามารถดำเนินการติดต่อเจรจาเพื่อให้พม่าเปิดพรมแดนได้
แต่เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีได้บริหารประเทศเพียงไม่กี่เดือน ก็สามารถเจรจากับรัฐบาลพม่าได้ด้วยดีจากบทบาท
และหน้าที่ของการเป็นผู้นำประเทศที่ดีที่เดินทางไปเยือน
พล.อ.เต็งเส่ง ประธานาธิบดีของพม่า
จนนำไปสู่การเปิดด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554
จากการประสานงานของ ดร.สุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และ
ดร.พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
นอกจากนี้พม่ายังถือโอกาสในการเปิดพรมแดนครั้งนี้ทำพิธีเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี
อย่างเป็นทางการ
และเมื่อพม่าเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี
ที่อยู่ตรงข้ามและทำการค้าชายแดนกับ อ.แม่สอด ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนโยบายเดิมของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่
23 ได้นำเรื่องการพิจารณาจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด
กลับมาเร่งดำเนินการเพราะเป็นแนวคิดและแนวทางดั้งเดิมของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร -รัฐบาลพรรคพลังประชาชน ภายใต้การนำของ
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
โดยจะยึดแนวทางการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษ “นครแม่สอด” และเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ควบคู่กันไปเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
และความต้องการของประชาชน-ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่แม่สอด เพื่อรองรับให้ “นครแม่สอด”
เป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าชายแดน-การลงทุน-การท่องเที่ยวระหว่างประเทศศูนย์กลางภูมิภาคบนระเบียงเศรษฐกิจเส้นทางสายตะวันออก-ตะวันตก East-West Economic Corridor
(EWEC) เป็นพื้นที่รองรับประชาคมอาเซียน ที่จะเกิดขึ้นใน ปี พ.ศ. 2558///***ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ*** (กรุงเทพโพลล์) เปิดผลสำรวจ เรื่อง “ดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยใน
3-6 เดือนข้างหน้า" พบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ต่อสถานะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 56.75
เพิ่มขึ้น 11.57 จุด และเป็นระดับที่สูงกว่า 50 เป็นครั้งแรกนับจากการสำรวจในเดือนมกราคม
ปี 2555 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในสถานะแข็งแกร่งจากปี 2555
ที่เศรษฐกิจอยู่ในสถานะอ่อนแออย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
โดยสถานะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งได้รับผลดีในหลายปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวจากต่างประเทศและการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
ส่วนปัจจัยการส่งออกสินค้าเป็นปัจจัยเดียวที่ยังอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยในอีก
3 เดือนข้างหน้า พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ในระดับ 59.94
และเมื่อมองออกไปในอีก 6 เดือนข้างหน้า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ในระดับ 63.82
หมายความว่า นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในอีก 3-6
เดือนข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน
โดยมีการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
ทั้งนี้ การที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 และ 6
เดือนข้างหน้าอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50
แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยที่สดใส สำหรับประเด็นเศรษฐกิจใน 3-6
เดือนข้างหน้าที่นักเศรษฐศาสตร์เป็นห่วงมากที่สุด และอยากให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาดูแลเป็นพิเศษ
มีดังนี้ 1. ประเด็นค่าจ้างขั้นต่ำ 300
บาทที่จะส่งผลให้ต้นทุนการประกอบการเพิ่มสูงขึ้น และกระทบกับธุรกิจ SMEs โดยตรงและอาจส่งผลให้เกิดปัญหาการว่างงานในอนาคตได้ (ร้อยละ 33.9) 2.
การใช้จ่ายเงินในโครงการประชานิยมต่างๆ (โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว)
อาจนำมาซึ่งปัญหาหนี้สาธารณะในอนาคต (ร้อยละ 19.6) 3.
ปํญหาค่าเงินบาทผันผวนจนอาจส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก (ร้อยละ 10.7) 4.
ปัญหาราคาสินค้า ค่าครองชีพ หรืออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น (ร้อยละ 10.7) 5.
ปัญหาหนี้ส่วนบุคคลและหนี้ของครัวเรือนที่เริ่มเห็นสัญญาณของปัญหา (ร้อยละ 10.7)
6. ปัญหาอื่นๆ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเบิกจ่ายงบประมาณ เศรษฐกิจโลก
ปัญหาการเมือง เป็นต้น
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 60 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่
18—25 ม.ค. ที่ผ่านมา
ทีมข่าว
พัฒนาพัฒนาบ้านเมืองและเศรษฐกิจชุมชน
....รายงาน****
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น